เศรษฐกิจมีโอกาส Double-Dip ถ้าไม่เร่งสปีด
ส่อง 4 ปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ "เศรษฐกิจไทย" มีความเสี่ยงเศรษฐกิจกลับมาถดถอยอีกครั้งในไตรมาสแรกหรือไตรมาสสองของปีหน้า หรือทำให้เกิดการฟื้นตัวในรูปตัว W แทนที่จะเป็นตัว U
ประเทศไทยได้รับเสียงชื่นชมมากมายจากความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19 แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถส่งต่อความสำเร็จด้านสาธารณสุขไปยังภาคเศรษฐกิจ ซึ่งแม้จะพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยงที่อาจทรุดตัวอีกรอบ หรือฟื้นตัวในรูปตัว “W” แทนที่จะเป็นตัว “U”
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ข้อแรก :
ถึงแม้รัฐบาลได้ออกมาตรการมาอย่างต่อเนื่องทั้งด้านการเงินและการคลัง รวมมูลค่าถึง 2.3 ล้านล้านบาท หรือเทียบเท่า 15% ของ GDP แต่ความล่าช้าในการดำเนินมาตรการต่างๆ ทำให้เม็ดเงินไม่กระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากเท่าที่ควรและรวดเร็วเพียงพอ
ยกตัวอย่าง วงเงินกู้ 400,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จนถึงวันนี้มีโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพียง 46,000 ล้านบาท
หรือโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของแบงก์ชาติ ก็มีการอนุมัติสินเชื่อไปแค่ 115,520 ล้านบาท จากวงเงินทั้งหมด 500,000 ล้านบาท และมีผู้ประกอบการ SME เพียง 69,086 รายเท่านั้นที่ได้รับสินเชื่อจากโครงการนี้
ล่าสุด งบประมาณประจำปี 2564 ก็ดูเหมือนจะล่าช้าออกไป เพราะไม่น่าจะผ่านขั้นตอนการอนุมัติจากรัฐสภาได้ทันภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งก็จะทำให้เม็ดเงินจากงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจช้าลงด้วย
ถ้าทุกอย่างยังดำเนินการด้วยความล่าช้าแบบนี้ เราอาจได้เห็นเศรษฐกิจกลับมาถดถอยอีกครั้งในไตรมาสแรกหรือไตรมาสสองของปีหน้า
ข้อสอง :
เม็ดเงินรวมของมาตรการทั้งหมดอาจดูสูง แต่ส่วนใหญ่เป็นวงเงินกู้และเงินเพื่อการเยียวยา ส่วนที่เป็นเม็ดเงินสำหรับใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจยังมีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับรายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไป 2 ล้านล้านบาท รวมทั้งผลกระทบทางอ้อมจากการปิดประเทศอีกไม่ต่ำกว่าหลายแสนล้านบาท
การรักษาวินัยการคลังถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ในภาวะที่ไม่ปกติแบบในปัจจุบัน ภาครัฐจำเป็นต้องใช้จ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และต้องยอมขาดดุลงบประมาณมากกว่าในปีปกติ เพราะรัฐคือกำลังซื้อหลักของระบบเศรษฐกิจในเวลานี้
ยกตัวอย่าง ประเทศสหรัฐ น่าจะขาดดุลการคลังไม่ต่ำกว่า 16-17% ของ GDP ในปีนี้ (จากระดับปกติที่ 3-4%) และมีแนวโน้มจะขาดดุลอีกราว 9-10% ในปีหน้า
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลน่าจะขาดดุลการคลังราว 4% ของ GDP ในปีนี้ ส่วนในปีหน้า รัฐบาลทำงบประมาณขาดดุลไว้ที่ 623,000 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 3-4% ของ GDP นับเป็นการขาดดุลในระดับที่ไม่แตกต่างมากนักจากการขาดดุลในปีปกติ ซึ่งน่าจะไม่เพียงพอสำหรับการแก้วิกฤติครั้งนี้
ข้อสาม :
การควบคุมการระบาดของ COVID-19 ได้สำเร็จกลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะแทนที่จะทำให้เราสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่น กลับทำให้เรายิ่งไม่กล้าเปิดประเทศเพราะกลัวจะไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้ดีเท่าเดิม
ประเทศที่ไม่ได้พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวอาจไม่จำเป็นต้องรีบเปิดประเทศ แต่ไทยมีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 12% ของ GDP รวมทั้งมีผู้ประกอบการ SME ที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวถึง 6 หมื่นราย และมีผู้ทำงานมากถึง 4 ล้านคน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 17 กันยายน 2563