ญี่ปุ่นมุ่งมั่นยกระดับความร่วมมือทางทหารกับอินโดนีเซีย
ผู้นำญี่ปุ่นนและอินโดนีเซียให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคง ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ว่าประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซึงะ ผู้นำญี่ปุ่น ที่ทำเนียบโบกอร์ ในเมืองโบกอร์ ของจังหวัดชวาตะวันตก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในโอกาสที่ซึงะเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ เป็นจุดหมายที่สองต่อจากเวียดนาม และเป็นจุดหมายสุดท้ายของการเดินสายเยือนต่างประเทศครั้งแรก นับตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา
อนึ่ง เวียดนามดำรงตำแหน่งประธานหมุนเวียนของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียใต้ (อาเซียน) ประจำปีนี้ ส่วนอินโดนีเซียเป็นประเทศซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึงะกล่าวว่า บรรยากาศด้านความมั่นคงและสถานการณ์ทางทหารในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และการเพิ่มการประสานความร่วมมือเป็นสิ่งจำเป็น อินโดนีเซียและญี่ปุ่นเห็นพ้อง จัดการพบหารือระดับทวิภาคี ระหว่าง รมว.การต่างประเทศและรมว.กลาโหมของทั้งสองประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อยกระดับความร่วมมือที่รวมถึง "การส่งมอบเทคโนโลยีทางทหาร"
ด้าน วิโดโด กล่าวว่า การยกระดับความเป็นพันธมิตรระหว่างญี่ปุ่นกับอินโดนีเซียมีความสำคัญอย่างยิ่ง ท่ามกลางการแข่งขันระหว่าง "มหาอำนาจ 2 ประเทศ" ที่ขยับขยายสมรภูมิเข้ามาในแถบนี้มากขึ้น ทั้งนี้ การพบหารือระหว่างวิโดโดกับซึงะ เกิดขึ้นท่ามกลางรายงานว่า ผู้นำอินโดนีเซียปฏิเสธให้กองทัพสหรัฐใช้พื้นที่ในประเทศ เป็นสถานที่จอดพักและเติมเชื้อเพลิงให้กับเครื่องบินสอดแนมทางทะเล "พี8-โพไซดอน"
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลวอชิงตันถอดชื่อของ พล.ท.ปราโบโว ซูเบียนโต รมว.กลาโหมของอินโดนีเซีย ออกจากบัญชีดำการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเชิญ พล.ท.ซูเบียนโต เยือนกรุงวอชิงตัน เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อพบหารือกับนายมาร์ค เอสเปอร์ รมว.กลาโหมสหรัฐ และเอสเปอร์เตรียมเยือนอินเดียในสัปดาห์หน้า ในเวลาเดียวกับที่พันธมิตร "ควอด" ประกอบด้วยสหรัฐ ออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น เตรียมซ้อมรบร่วมกัน ภายใต้รหัส "มาลาบาร์" บริเวณน่านน้ำสากลของอ่าวเบงกอล ซึ่งเป็นอ่าวขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางเหนือของมหาสมุทรอินเดียในเดือนหน้า
ที่มา เดลินิวส์
วันที่ 21 ตุลาคม 2563