ยุทธศาสตร์เอไอ เวียดนามเป้าพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม
ยุทธศาสตร์เอไอ เวียดนามเป้าพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม โดยรัฐบาลเวียดนามตั้งความหวังว่าจะผลักดันให้ประเทศมีรายได้ปานกลางระดับบน โดยใช้เอไอเป็นตัวช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
นายกรัฐมนตรีเหงียน ซวน ฟุกของเวียดนามได้เปิดเผยแผนแม่บทเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมสมัชชาแห่งชาติในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวผู้นำคนใหม่ที่สภาคองเกรสส์ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามลงมติเลือกไว้เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา โดยฟุก ซึ่งคาดว่าจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อเป็นสมัยที่2 ได้ลงนามข้อตกลงสำคัญ“ยุทธศาสตร์ชาติด้านอาร์แอนด์ดีและแอพพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์”ซึ่งจะแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการต่างๆที่จะใช้เทคโนโลยีเอไอมาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจนถึงปี 2573
รัฐบาลเวียดนามตั้งความหวังว่าจะผลักดันให้เป็นประเทศที่มีสถานะรายได้ปานกลางระดับบน โดยมีเอไอเข้ามาเป็นตัวช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งรับมือกับความท้าทายด้านต่างๆจนบรรลุตามเป้าการพัฒนาที่กำหนดไว้ ซึ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่4ของเวียดนาม หรือ อุตสาหกรรม4.0 คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้วยเทคโนโลยีเอไอเพื่อเพิ่มขีดแข่งขันให้ประเทศในตลาดโลก
เพื่อส่งเสริมระบบอัตโนมัติ อุตสาหกรรม4.0 ที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนต่างๆที่มีการเชื่อมต่อด้วยความเร็วสูง เอไอ แมชชีน เลิร์นนิง และข้อมูลแบบเรียลไทม์ ฟุก มีภาระกิจที่ได้รับมอบหมายจากโพลิตบุโรในปี2562ให้การสร้างกรอบงานสำหรับอุตสาหกรรม4.0 และเขาได้ลงนามแผนแม่บทที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีเอไอพัฒนาเวียดนามตลอดระยะเวลา 9ปีข้างหน้าเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ปี 2563
ยุทธศาสตร์เอไอสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจปี 2573 ที่กำหนดโดยที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนม.ค. โดยเวียดนามตั้งเป้าเป็นประเทศกำลังพัฒนา มีรายได้
ประเทศรายได้ปานกลางระดับบนคือมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ต่อหัวประชากรอยู่ที่ 4,000-12,000 ดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2573 ในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปีก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
ข้อมูลของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์)ระบุว่าจีดีพีต่อหัวประชากร (จีเอ็นไอ)ของประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับบนอยู่ที่ 4,000-12,000 ดอลลาร์ต่อปี ส่วนจีเอ็นไอของเวียดนามอยู่ที่ 2,590 ดอลลาร์ในปี 2562 ขณะที่จีเอ็นไอของอินโดนีเซียอยู่ที่ 4,050 ดอลลาร์ ไทย 7,260 ดอลลาร์และมาเลเซียอยู่ที่ 11,230 ดอลลาร์
รัฐบาลเวียดนาม ต้องการใช้เอไอเพิ่มความสามารถด้านการผลิตในภาคสาธารณะ โดยเฉพาะการบริการสาธารณะทางออนไลน์เพื่อลดขั้นตอนและลดเวลารอคอย ลดจำนวนผู้ให้บริการด้านสาธารณะ และลดต้นทุนด้านอื่นๆ การใช้เอไอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านความมั่นคงของประเทศก็เป็นวาระสำคัญของการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน เป้าปี 2573ของเวียดนามจะนำเวียดนามเข้าไปอยู่ในท็อป4ของอาเซียนและประเทศท็อป 50 ของโลกด้านการวิจัยเอไอ การพัฒนาและแอพพลิเคชัน รัฐบาลเวียดนามต้องการผลักดันประเทศให้สร้างแบรนด์หรือการบริการเอไอที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของทั่วโลก 10 แบรนด์ ภายในปี 2573
นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังวางแผนสร้างศูนย์เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ หรือบิ๊กดาต้าของประเทศเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง ดึงดูดบรรดาผู้ประกอบการในประเทศและนักลงทุนต่างชาติให้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อต่อยอดธุรกิจ
“ถ้าเวียดนามต้องการเลือกที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว ก็หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรม4.0 ไม่ได้ รวมทั้งนวัตกรรมและการพัฒนาด้านเทคโนโลยี”นักวิเคราะห์จากหน่วยงานรัฐบาล กล่าว
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของฟุกที่จะเร่งพัฒนาประเทศตามแผนอุตสาหกรรม4.0และเอไอแต่ในความเป็นจริงการพัฒนาในส่วนนี้ของเวียดนามยังคงตามหลังหลายประเทศ
์ “เอไอเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของบรรดาบริษัทไอทีและบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอื่นๆ การที่รัฐบาลสนับสนุนข้อริเริ่มต่างๆจะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านขององค์กรทุกแห่ง สถาบัน และบริษัทต่างๆในเวียดนามดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้นในการปฏิวัติอุตสาหกรรม4.0 ”ทู วู อันห์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีบริษัทเอฟพีที คอร์พอเรชัน กล่าว
เวียดนาม เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย และเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่ช่วยสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค เช่นเดียวกับจีน ซึ่งรัฐบาลเวียดนามมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทั้งจีนและสหรัฐทำให้เวียดนามอยู่ในตำแหน่งที่ดีทางทางยุทธศาสตร์
ในทางเศรษฐกิจ เวียดนาม มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมหาอำนาจทั้งสองประเทศ และข้อพิพาททางการค้าระหว่างรัฐบาลจีนและรัฐบาลสหรัฐในปัจจุบัน ทำให้เวียดนามอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ
และบริษัทต่างชาติหลายแห่งเข้าไปลงทุนในเวียดนาม รวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลกเช่นแอ๊ปเปิ้ลและซัมซุง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 24 มีนาคม 2564