รอง ปธน.สหรัฐฯ หารือผู้นำเวียดนาม เสนอให้การสนับสนุนตอบโต้ปักกิ่งในทะเลจีนใต้
รอยเตอร์ - กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้พบหารือกับผู้นำระดับสูงของเวียดนามในวันนี้ (25) โดยให้การสนับสนุนในหลายประเด็นสำคัญ ที่รวมถึงการเสริมความมั่นคงทางทะเล ในความพยายามที่จะตอบโต้การขยายอิทธิพลของปักกิ่งในทะเลจีนใต้
แฮร์ริสยังเสนอให้เรือรบของสหรัฐฯ เยือนเวียดนามมากขึ้นระหว่างการหารือกับประธานาธิบดีเหวียน ซวน ฟุ้ก รองประธานาธิบดีโว ถิ แอ็ง ซวน และนายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง ตามการระบุของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว
การเยือนสิงคโปร์และเวียดนามเป็นเวลา 7 วัน ของแฮร์ริส เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ที่จะแสวงหาพันธมิตรที่วอชิงตันหวังว่าจะช่วยท้าทายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและความมั่นคงที่ขยายตัวขึ้นของจีนในภูมิภาคนี้
ระหว่างการหารือ แฮร์ริสยังเสนอให้ความช่วยเหลือและวัคซีนแก่เวียดนามเพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด-19 และประกาศเปิดโครงการที่ช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุ
แฮร์ริสกล่าวว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มแรงกดดันต่อปักกิ่งเกี่ยวกับการอ้างสิทธิทางทะเล
“เราจำเป็นที่จะต้องหาวิธีกดดัน และเพิ่มแรงกดดันต่อปักกิ่งให้ยอมปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล และเพื่อท้าทายพฤติกรรมกลั่นแกล้งและการอ้างกรรมสิทธิ์ทางทะเลที่เกินขอบเขตของพวกเขา” แฮร์ริส กล่าวระหว่างพบหารือกับประธานาธิบดีเวียดนาม
นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 วันที่แฮร์ริสกล่าวโจมตีปักกิ่ง
เมื่อวันอังคาร (24) ในสิงคโปร์ แฮร์ริสกล่าวหาปักกิ่งว่าใช้วิธีการบังคับข่มขู่เพื่ออ้างสิทธิเหนือทะเลจีนใต้ที่เป็นข้อพิพาทอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งจีนปฏิเสธความเห็นของแฮร์ริส และกล่าวหาว่า วอชิงตันพยายามสร้างความแตกแยกระหว่างจีนกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จีนผุดสิ่งปลูกสร้างทางทหารขึ้นบนเกาะเทียมในทะเลจีนใต้ ที่เป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญ มีแหล่งก๊าซธรรมชาติและเป็นแหล่งการทำประมงที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งทั้งจีน เวียดนาม บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน ต่างอ้างสิทธิเหนือพื้นที่บางส่วนของน่านน้ำแห่งนี้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างจีนและเวียดนามในทะเลจีนใต้ยังคงอยู่ในระดับสูง และเวียดนามได้รับรองยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ อย่างเงียบๆ เนื่องจากเวียดนามใช้แนวทางแข็งกร้าวต่อต้านจีนในน่านน้ำพิพาท
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทั่วทั้งภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกร้อนระอุขึ้นอย่างมาก ทำให้ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องพยายามรักษาสมดุล
การเดินทางมาถึงกรุงฮานอยของแฮร์ริสล่าช้ากว่ากำหนดวานนี้ (24) หลังจากสถานทูตสหรัฐฯ ในเวียดนามระบุว่า พบเหตุการณ์ด้านสุขภาพที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคปริศนาที่เรียกว่า ‘ฮาวานาซินโดรม’
ในช่วงเวลาดังกล่าว นายกรัฐมนตรีฝ่าม มีง จีง และเอกอัครราชทูตจีนประจำเวียดนามได้พบหารือกันแบบไม่ประกาศล่วงหน้า โดยผู้นำเวียดนามกล่าวว่า เวียดนามมีนโยบายต่างประเทศแบบไม่เลือกข้างฝ่ายใด ขณะที่เอกอัครราชทูตจีนกล่าวกับนายกฯ จีง ว่าปักกิ่งจะบริจาควัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้เวียดนามจำนวน 2 ล้านโดส
เจ้าหน้าที่อาวุโสของทำเนียบขาวกล่าวว่า ระหว่างการพบหารือในภูมิภาค แฮร์ริสจะเสนอการต่อต้านอิทธิพลของจีน ขณะเดียวกัน ก็ไม่บังคับให้ประเทศต่างๆ ต้องเลือกข้างระหว่างสองมหาอำนาจ
รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศสนับสนุนการรับมือของเวียดนามต่อการระบาดของโควิด-19 ด้วยการบริจาควัคซีนไฟเซอร์เพิ่ม 1 ล้านโดส ทำให้ยอดบริจาควัคซีนแก่เวียดนามรวมเป็น 6 ล้านโดส และทุนเพิ่มเติมอีก 23 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนความพยายามของประเทศในการต่อสู้กับการระบาด
หลังประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดได้เป็นส่วนใหญ่ในปีที่ผ่านมา แต่นับตั้งแต่เดือน เม.ย. เวียดนามต้องรับมือกับการระบาดครั้งใหญ่ของสายพันธุ์เดลตาในนครโฮจิมินห์ และเวียดนามมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีประชากรไม่ถึง 2% จาก 98 ล้านคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 2 เข็ม
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 25 สิงหาคม 2564