เวียดนามเตรียมผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด อนุญาตเปิดโรงงานสัปดาห์หน้า ท่ามกลางความหวังฟื้นเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงห์จิ๋งห์ ของเวียดนาม เปิดเผยเมื่อวานนี้ (25 กันยายน) ว่ารัฐบาลเวียดนาม เตรียมผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด โดยเตรียมอนุญาตให้ธุรกิจและโรงงานต่างๆ เริ่มกลับมาผลิตสินค้าได้อีกครั้งตั้งแต่สัปดาห์หน้า ท่ามกลางความหวังในการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากมาตรการควบคุมที่เข้มงวดในการแพร่ระบาดระลอกล่าสุด
ที่ผ่านมาเวียดนามได้รับการชื่นชมจากนานาชาติ หลังสามารถบังคับใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดได้อย่างเห็นผล ทำให้ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
แต่ในช่วงปลายเดือนเมษายน สถานการณ์แพร่ระบาดทวีความรุนแรงเป็นระลอกที่ 4 เนื่องจากไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตาส่งผลให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มจากหลักสิบต่อวันไปถึงกว่า 16,000 คนในวันเดียว และผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มจากราว 2,800 คนเป็นมากกว่า 746,000 คนในปัจจุบัน
ซึ่งรัฐบาลเวียดนามต้องเพิ่มมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวด ทำให้สถานประกอบธุรกิจและโรงงานหลายแห่งต้องปิดทำการ และส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการผลิตของเวียดนาม โดยนักลงทุนต่างชาติเตือนรัฐบาลเวียดนามว่า มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดบีบบังคับให้หลายบริษัทต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น
ขณะที่การพิจารณาผ่อนคลายมาตรการของเวียดนามมีขึ้นหลังจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เริ่มลดลง โดยเมื่อวานนี้พบผู้ติดเชื้อ 9,682 คน และเป็นวันที่ 3 แล้วที่ผู้ติดเชื้อลดลงต่ำกว่า 10,000 คน ซึ่งการผ่อนคลายมาตรการจะมีขึ้นในพื้นที่ปลอดภัยที่พบการระบาดลดลง
“ประมาณวันที่ 30 กันยายน พื้นที่ปลอดภัยสามารถผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดและฟื้นฟูธุรกิจและกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ได้” นายกรัฐมนตรีจิ๋งห์กล่าวในที่ประชุมรัฐบาล และชี้ว่าการต่อสู้กับโรคระบาดไม่ใช่แค่การตั้งแนวกั้นและมาตรการจำกัดทางกายภาพ ซึ่งเขามั่นใจว่าเวียดนามสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลข GDP ของเวียดนามในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ราว 3.5% ถึง 4.0% ต่ำกว่าเป้าหมาย 6.5% ที่วางไว้ก่อนหน้านี้ โดยเวียดนามยังพยายามเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชน ท่ามกลางความหวังในการควบคุมสถานการณ์ระบาดและทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นฟูได้โดยเร็ว แต่จนถึงตอนนี้มีประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสเพียงประมาณ 7.5 ล้านคน หรือราว 7.8% ของประชากรทั้งหมดกว่า 98 ล้านคน
ที่มา thestandard.co
วันที่ 26 กันยายน 2564