การระบาดของโอมิครอนกับผลกระทบต่อเด็ก รุนแรงแค่ไหน และควรป้องกันอย่างไร?
การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน แม้จะไม่ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อเกิดอาการป่วยรุนแรงได้มาก เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ก่อนหน้าอย่างเดลตา แต่ก็สร้างความกังวลให้กับประชาชน โดยเฉพาะบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง เนื่องจากบุตรหลานที่เป็นประชากรในกลุ่มเด็ก ที่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ยังถือว่ามีความเสี่ยง
ที่ผ่านมาหลายประเทศมีความพยายามที่จะฉีดวัคซีนให้กลุ่มเด็กตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไป แต่ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะที่หลายคนมีความสงสัยว่า การฉีดวัคซีนป้องกันให้เด็กนั้นจะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโอมิครอนได้แค่ไหน และโดยรวมแล้วโอมิครอนส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อเด็กอย่างไรบ้าง?
โอมิครอนร้ายแรงน้อยลงจริงไหม?
* หลักฐานจากงานวิจัยหลายฉบับทั่วโลกชี้ให้เห็นว่า ผู้ติดเชื้อโควิดโอมิครอนส่วนใหญ่มีอาการป่วยไม่รุนแรง โดยเทียบกับสายพันธุ์อื่น เช่น เดลตา ซึ่งผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะกลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้วมีโอกาสที่จะป่วยหนักจนเข้าโรงพยาบาลหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้น้อยกว่า
* สำหรับผลกระทบของโอมิครอนต่อกลุ่มเด็กนั้น มีนักวิทยาศาสตร์หลายประเทศที่กำลังพยายามศึกษาวิจัย โดย อาชา โบเวน ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อในเด็กจากออสเตรเลีย มองว่า เด็กที่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง หรือมีอาการป่วยเล็กน้อย เช่น น้ำมูกไหล มีไข้ หรือไม่สบายไปราว 2-3 วัน
* ข้อมูลเบื้องต้นจากทีมวิจัยของเครือข่ายโรงพยาบาลเด็กซิดนีย์พบว่า ช่วงที่เกิดการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาเมื่อปีที่แล้ว มีเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี อย่างน้อย 1 ใน 5 คน ที่ไม่เกิดอาการป่วยอะไรเลย
โอมิครอนระบาดหนัก ทำเด็กเข้าโรงพยาบาลมากขึ้นไหม?
* การระบาดของโอมิครอนที่ปรากฏในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ส่งผลให้ตัวเลขเด็กที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลบางประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในสหรัฐฯ ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีนับจนถึง 1 มกราคม มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เฉลี่ย 4.3 คน ต่อ 100,000 คน ที่ติดโควิดและเข้ารักษาในโรงพยาบาล ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์และเพิ่มจากช่วงต้นเดือนธันวาคมกว่า 48%
* แม้โอมิครอนจะก่อให้เกิดอาการป่วยรุนแรงน้อยกว่า แต่การระบาดที่รวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นก็ทำให้มีเด็กติดเชื้อพุ่งสูงและทำให้มีเด็กเข้ารักษาในโรงพยาบาลมากขึ้นตามไปด้วย
* อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาลไม่ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขมากเท่าผู้ป่วยกลุ่มผู้ใหญ่ และในหลายประเทศนั้น สัดส่วนเด็กที่ติดโควิดและเข้ารักษาในโรงพยาบาลยังต่ำกว่าผู้ป่วยกลุ่มอายุอื่นๆ
* ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ยังมีเด็กหลายคนที่ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลด้วยเหตุผลอื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับโควิด ก่อนจะพบว่าติดเชื้อในภายหลัง ขณะที่เด็กบางคนอาจไม่มีอาการป่วย แต่ถูกส่งไปโรงพยาบาลเพื่อรับการดูแล เนื่องจากพ่อแม่หรือสมาชิกครอบครัวเกิดป่วยหนักจนไม่สามารถดูแลเด็กได้เอง
ผลกระทบโอมิครอนกับเด็กเล็ก?
* ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลมีเพิ่มมากขึ้นทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ท่ามกลางการระบาดอย่างรวดเร็วของโอมิครอน
* โดยเด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดของสหรัฐฯ หรือ CDC ชี้ว่า ข้อมูลที่ปรากฏในกลุ่มเด็กเล็กยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มเด็กโตและผู้ใหญ่ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อแก่เด็กเล็ก
* ขณะที่ โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการ CDC ระบุว่า ยังไม่พบหลักฐานบ่งชี้ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างการเกิดอาการป่วยรุนแรงกับการติดเชื้อโอมิครอนในกลุ่มเด็กอายุ 5 ขวบ
* อย่างไรก็ตาม สำหรับในบางประเทศที่ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาว เช่นสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร มีความเป็นไปได้ที่การเพิ่มขึ้นของจำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบในโรงพยาบาล อาจมาจากการติดเชื้อของโรคในระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น โรคหวัด
ประโยชน์ของวัคซีนสำหรับเด็ก?
* แม้ว่าโควิดจะดูไม่ส่งผลรุนแรงต่อเด็กส่วนใหญ่ แต่การให้วัคซีนสำหรับเด็กนั้นยังคงมีประโยชน์อย่างน้อย 2 อย่างคือ ช่วยปกป้องกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ และลดความเสี่ยงของเด็กในการเกิดอาการป่วยรุนแรง
* การฉีดวัคซีนยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีปัญหาสุขภาพ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าเด็กกลุ่มนี้ควรได้ฉีดวัคซีนเป็นลำดับแรก
* หลักฐานปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า เด็กที่มีภาวะทางพันธุกรรม ระบบประสาท หรือระบบเผาผลาญที่ซับซ้อน รวมถึงผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือปอด มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการป่วยหนักจากการติดโควิดได้มากขึ้น ซึ่งเด็กที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน หรือโรคหอบหืดรุนแรง ก็อาจจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเด็กกลุ่มนี้ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันครบ 2 โดส
* สำหรับเด็กส่วนใหญ่ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพนั้น ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การฉีดวัคซีนเพียง 1 โดสก็ให้การป้องกันโควิดได้ในระดับสูง
* ซึ่งการฉีดวัคซีนแก่เด็กนั้นยังช่วยป้องกันการเกิดอาการร้ายแรงจากการติดเชื้อโควิด เช่น อาการอักเสบในอวัยวะหลายส่วน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในช่วง 2-3 สัปดาห์หลังติดเชื้อ
ที่มา the standard
วันที่ 13 มกราคม 2565