APEC Health Week วันแรก ชู Smart Families รับมือคนเกิดน้อย

APEC Health Week วันแรก  ชู Smart Families รับมือคนเกิดน้อย  ระดมผู้เชี่ยวชาญ สร้างแนวทางรับมือปัญหาโครงสร้างประชากร เผย 17 เขตเศรษฐกิจมีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำกว่าอัตราทดแทน วัยแรงงานลดลง เจอปัญหาหลังแอ่นแบกรับดูแลสังคม เลี้ยงดูเด็กและคนแก่ กระทบเศรษฐกิจระยะยาว
 
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข  เปิดเผยถึงการประชุม APEC Health Week ซึ่งจัดประชุมวันนี้เป็นวันแรก โดยหารือเชิงนโยบาย (Policy Dialogue) ในประเด็น “ครอบครัวคุณภาพ (Smart Families)ว่า ปัจจุบันสมาชิกเอเปคทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจ พบว่า มีถึง 17 เขตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างประชากร คือ มีอัตราการเจริญพันธุ์โดยรวมต่ำกว่าอัตราการทดแทน ทำให้จำนวนประชากรมีแนวโน้มลดลง จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวได้ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน โดยปัจจุบันไทยมีประชากรราว 66 ล้านคน เข้าสู่สังคมสูงอายุ (Aging Society) เรียบร้อยแล้ว และกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ในไม่ช้า มีอัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate) 1.24 ปี 2563 ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทน ทั้งที่อัตราการเจริญพันธุ์รวมควรอยู่ที่ประมาณ 1.6
 
“ขณะนี้ประเทศไทยมีเด็กแรกเกิดลดลงทุกปี จากปี 2560 เด็กเกิดประมาณ 7 แสนคน ปัจจุบันในปี 2564 ลดเหลือ 5.4 แสนคน จำนวนการเกิดลดลงเรื่อยๆ จนใกล้เคียงจำนวนการตาย หากไม่ทำอะไรเลยการเกิดจะน้อยกว่าการตาย ประชากรไทยอาจจะลดลงครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ประชากรวัยทำงานที่ต้องอุ้มชูดูแลทั้งสังคม วัยเด็ก และวัยสูงอายุ มีจำนวนลดลงและแบกรับภาระมากขึ้น โดยคาดว่า 40 ปีข้างหน้าวัยทำงานลดลง 15 ล้านคน มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 12 ล้านคน ทำให้กระทบทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเงินการคลังของประเทศ” ดร.สาธิตกล่าว
 
โดยการประชุมในวันนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคได้มาแลกเปลี่ยนสถานการณ์และหารือสร้างฉันทามติเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาสถานการณ์นี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนครอบครัว ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ และภาคเอกชน ของแต่ละเขตเศรษฐกิจเอเปคเข้าร่วม เช่น แนวทางการวางแผนการเจริญพันธุ์สำหรับบุคคลและครอบครัวที่ต้องการมีบุตรและหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น โดยประเทศไทยมีการนำเสนอเรื่องของโครงการครอบครัวคุณภาพ Smart Families
 
ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า นโยบายด้านประชากรของไทยแบ่งเป็น3 ช่วง คือ ช่วงแรกการส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น สมัยช่วงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ทำให้ประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้นจาก 14.5 ล้านคนในปี 2480 เป็น 26.3 ล้านคน ในปี 2503 ช่วงที่สอง การส่งเสริมการวางแผนครอบครัว หลังจากที่ประเทศไทยมีการเกิดมากขึ้น เพื่อลดการเพิ่มของประชากร โดยประกาศนโยบายครั้งแรกเมื่อปี 2513 ซึ่งพัฒนาเป็นโครงการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ ที่ประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากนานาชาติ โดยอัตราคุมกำเนิดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14 เป็นร้อยละ 72 และช่วงที่สามคือปัจจุบันที่จำนวนและโครงสร้างประชากร
 
มีความซับซ้อนกว่าในอดีต ถือเป็นความท้าทายต่อนโยบายประชากรครั้งใหม่ เนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์รวมของไทยลดลงอย่างมาก มีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ทั้งการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น การตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ และการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย โดยขณะนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำที่สุดในโลก จากข้อมูล World Population Prospect 2022 พบว่าในปี  2564 มีเพียง 20 ประเทศเท่านั้นที่มีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำกว่าประเทศไทย
 
ขณะที่  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การจัดประชุม APEC Health Week ถือเป็นวันแรกของการประชุมตลอดช่วงวันที่ 22-26 สิงหาคม 2565 ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ ซึ่ง ภาพรวมบรรยากาศเป็นไปด้วยความราบรื่นและเรียบร้อย การจัดงานเป็นไปตามมาตรการการป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 มีผู้เข้าร่วมประชุมจากเขตเศรษฐกิจต่างๆ เข้าร่วมจำนวนมาก และให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างดี
 
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขในฐานะเจ้าภาพการจัดงาน ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดูแลผู้เข้าร่วมประชุม ทั้งเรื่องของความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การดูแลสุขภาพและการเจ็บป่วยระหว่างการประชุมเป็นอย่างดี โดยวันแรกมีการประชุมหารือเชิงนโยบาย (Policy Dialogue) 2 เรื่องสำคัญ คือ ครอบครัวคุณภาพ (Smart Families) และการกำจัดไวรัส HPV และมะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer)
สำหรับบูธนิทรรศการที่จัดโดยกรมต่างๆ ของกระทรวงสาธารณสุข มีการเตรียมความพร้อมแล้ว ทั้งเรื่อง Medical Hub นวัตกรรมทางการแพทย์ บทบาทของ อสม.ในการช่วยควบคุมโรคโควิด 19 กัญชาทางการแพทย์ สมุนไพรและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร รวมถึงการนวดไทย เป็นต้น ซึ่งจะเปิดให้ผู้เข้าร่วมประชุมเข้าศึกษาตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2565 ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมประชุมอย่างมาก
 
โดยเฉพาะการนวดไทยที่จัดให้มีบริการนวดคอ บ่า ไหล่ จำนวน 5 เตียง และนวดเท้าอีก 5 เตียง รองรับได้อย่างละ 40 คนต่อวัน รวมเป็น 80 คนต่อวัน ให้บริการภายใต้มาตรการป้องกันโควิด 19 ทั้งนี้ การนวดไทยถือเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและทางการแพทย์แผนไทย สามารถดูแลสุขภาพและต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทั้งการนวดรักษาโดยเฉพาะโรคออฟฟิศซินโดรม และการนวดส่งเสริมสุขภาพหรือนวดสปา
 
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 22 สิงหาคม 2565  

@Admin TVBC

สนใจสมัครสมาชิกหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายเลขานุการฯ
โทร: 02-018-6888 ต่อ 4340
Email: tvbc.secretariat@gmail.com

:)