สร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี รุดหน้าแล้วกว่า 88%
สร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทาง 96.41 กิโลเมตร คืบหน้าไปมากกว่า 88% พร้อมทดสอบบริการปีใหม่ 2567
มื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งผลักดันโครงการก่อสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน เชื่อมต่อการเดินทางทั้งทางถนน ราง เรือ และอากาศ โดยเฉพาะทางถนนคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ได้มีมติเห็นชอบโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางและส่งเสริมระบบขนส่ง โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายบางใหญ่-กาญจนบุรี มีพื้นที่ผ่าน 3 จังหวัด คือ จ.นนทุบรี จ.นครปฐม และจ.กาญจนบุรี ระยะทาง 96.41 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 61,034 ล้านบาท
ปัจจุบันมีความคืบหน้าด้านงานโยธาก่อสร้างแล้วเสร็จ 13 สัญญา จาก 25 สัญญา ภาพรวมคืบหน้าไปมากกว่า 88 % ส่วนงานระบบหรือ O&M มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องโดยเข้าพื้นที่ทั้งหมด 8 ด่านเป็นที่เรียบร้อย ประกอบด้วย ด่านบางใหญ่ ด้านศีรษะทอง ด่านนครชัยศรี ด้านนครปฐม ฝั่งตะวันออก ด่านนครปฐม ฝั่งตะวันตก ด่านท่ามะกา ด่านท่าม่วง ภาพรวมคืบหน้า 12%
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ได้ติดตามความคืบหน้าโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะในการเตรียมความพร้อมเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ทดสอบใช้บริการสายทางชั่วคราวช่วงปีใหม่ 2567 โดยคาดว่าสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ในช่วงหลังปีใหม่ 2568
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเมื่อแล้วเสร็จจะช่วยส่งเสริมการเดินทางจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑลไปยังภาคตะวันตกของประเทศให้ เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว รวมทั้งเชื่อมต่อเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จ.กาญจนบุรี และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างรวดเร็ว
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ได้วางรากฐานให้ประเทศไทย เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน กระจายความเจริญไปยังภูมิภาคต่างๆ ที่สำคัญอนาคตอันใกล้นี้ ระบบการขนส่งเพื่อการค้าการลงทุนก็จะเชื่อมโยงกันครอบคลุม ทั้ง รถ ราง เรือ เครื่องบิน ก็จะสามารถเพิ่มการแข่งขันในภูมิภาคและระดับโลกในอนาคตได้แน่นอน ”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ