ถกเอกชน 8 อุตสาหกรรม แนะใช้กฎถิ่นกำเนิดสินค้าลดภาษีเอฟทีเอ
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ร่วมภาคเอกชน 8 กลุ่มสินค้า หารือถึงข้อมูลกฎถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้เอฟทีเอที่จะอัพเกรดและจัดทำใหม่ หวังสร้างความเข้าใจ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ประกอบการของไทย
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 2-11 มี.ค.2564 ที่ผ่านมา กรมฯ ได้เชิญผู้ประกอบการ และภาคเอกชนกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ มาร่วมระดมความเห็นเรื่อง “การสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ” โดยแบ่งกลุ่มการหารือออกเป็น 8 กลุ่มย่อย ตามประเภทของสินค้าและสาขาอุตสาหกรรม ได้แก่
1). เกษตรและอาหาร
2). เคมีภัณฑ์ ปิโตรเคมี และพลาสติก
3). เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์
4). ยานยนต์และชิ้นส่วน
5). ไม้ กระดาษ การก่อสร้าง ซีเมนต์ และเฟอร์นิเจอร์
6). แร่เหล็กและอลูมิเนียม
7). เครื่องหนัง รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ อัญมณี และเครื่องประดับ และ
8). ยา สมุนไพร เครื่องสำอาง และเครื่องมือแพทย์
เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำแนวทางการเจรจาเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้เอฟทีเอที่จะมีการปรับปรุงทบทวน หรือเอฟทีเอฉบับใหม่ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ผลจากการหารือ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ เห็นตรงกันว่า ความรู้ในเรื่องกฎการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้ามีความสำคัญอย่างมากกับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากช่วยให้ทราบถึงกระบวนการตั้งแต่ต้นว่าควรเลือกใช้วัตถุดิบหรือการผลิตอย่างไร ที่จะสามารถนำมูลค่าของสินค้ามาสะสม จึงจะผ่านเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า และสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้เอฟทีเอ ในการส่งออกไปประเทศที่ไทยมีเอฟทีเอได้อย่างเต็มที่
ขณะเดียวกัน กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบต้นน้ำจากต่างประเทศ เช่น อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ที่มีการนำเข้าวัตถุดิบประเภทสินแร่เหล็ก ฝ้ายธรรมชาติ และทองคำ เป็นต้น มาใช้ในกระบวนการผลิตในประเทศ และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีห่วงโซ่การผลิตที่ซับซ้อนเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลก เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เห็นว่า การกำหนดกฎถิ่นกำเนิดสินค้าที่เหมาะสม จะช่วยให้มีโอกาสส่งออกโดยใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้เอฟทีเอได้มากขึ้น
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 17 มีนาคม 2564